Logo
หน้าหลัก     บทความ     Blog     Spread คือ อะไร

แนวโน้มราคา

Spread คืออะไร? คู่มือพื้นฐานที่นักเทรดมือใหม่ต้องรู้

เขียนโดย Itsariya Doungnet

อัปเดตแล้ว 30 มิถุนายน 2025

Spread-คือ-อะไร
สารบัญ

    หากคุณเพิ่งเริ่มต้นเข้าวงการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, หุ้น หรือ คริปโต มือใหม่ควรรู้เกี่ยวกับ spread กันก่อนเริ่มเทรดจริง ทั้งความหมายของ spread, ประเภท และ การคำนวณ spread เพราะค่า Spread มีผลต่อกำไรและต้นทุนของคุณ บทความนี้เราจะไปทำความรู้จักกันต่อว่า Spread คืออะไร ทำงานอย่างไร และทำไมนักเทรดทุกคน อ่านต่อเลย!

    สาระสำคัญ

    • Spread คือ ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Ask) ของสินทรัพย์ ที่เป็นต้นทุนแฝงในการเทรด

    • Spread มี 2 แบบหลัก คือ Spread คงที่ (Fixed) เหมาะมือใหม่ และ Spread ลอยตัว (Variable) เหมาะเทรดเร็ว ต้นทุนต่ำ

    • ปัจจัยที่กระทบ Spread ก็มี สภาพคล่องตลาด, เวลาทำการ, ความผันผวน และประเภทบัญชีโบรกเกอร์

    • เลือก Spread ตามสไตล์เทรดได้ เช่น มือใหม่ใช้ Fixed เพื่อความชัดเจน และ เทรดเร็วใช้ Variable เพื่อลดต้นทุนแต่ต้องรับความเสี่ยง

    ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง

    ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

    เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    ค่า Spread คืออะไร?

    ค่า Spread คือส่วนต่างระหว่าง ค่า Bid และ Ask ที่เป็นราคาซื้อและราคาขาย ของสินทรัพย์ในการเทรด เช่น ฟอเร็กซ์ หุ้น หรือคริปโต ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมแฝงที่โบรกเกอร์ใช้ในการทำกำไร ค่า spread แปรผันตามตลาด ยิ่งค่า Spread แคบ (น้อย) ก็ยิ่งดีสำหรับนักเทรด เพราะช่วยลดต้นทุนในการเข้า-ออกคำสั่งซื้อขาย

     

    ประเภทของ spread

    Spread สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทหลัก คือ สเปรดคงที่และสเปรดลอยตัว แต่ละแบบจะมีลักษณะเฉพาะตัวและเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกัน ดังนี้:

     

    spread คงที่ คืออะไร?

    เป็นค่า Spread ที่มีอัตราคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่ที่ต้องการความแน่นอน เพราะสามารถคำนวณต้นทุนล่วงหน้าได้ง่าย อย่างไรก็ตาม บางครั้ง Spread คงที่ อาจจะสูงกว่า Spread แบบลอยตัวเล็กน้อย

    spread-คงที่

     

    ตัวอย่างสเปรดคงที่:

    สเปรดเฉลี่ยของคู่เงินหลัก EUR/USD มี Spread คงที่ อยู่ที่ 2 pip ไม่ว่าจะเป็นช่วงตลาดเงียบหรือ สเปรดช่วงข่าวแรง ก็ยังอยู่ที่ 2 pip เท่าเดิม จากรูปจะเห็นว่าระหว่างราคา Bid (1.13452) กับ Ask (1.13472) ต่างกันอยู่ 20 นั่นคือค่าสเปรดนั่นเอง ( 20 Point / 2 Pips )

     

    spread ลอยตัว คืออะไร?

    Spread ลอยตัว เป็นค่า Spread ที่เปลี่ยนแปลงได้ตามความผันผวนของราคา เช่น ในช่วงที่มีข่าวสำคัญ หรือปริมาณการซื้อขายสูง ทำให้เกิด ช่องว่างของราคา (Spread) กว้างขึ้น ข้อดีคือในช่วงตลาดปกติ Spread มักจะต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงในช่วงเวลาที่ตลาดเคลื่อนไหวแรง

    spread-ลอยตัว

     

    ตัวอย่างสเปรดลอยตัว:

    คู่สกุลเงิน USD/JPY อาจมี Spread ลอยตัว อยู่ที่ 0.8 pip ในช่วงตลาดปกติ แต่หากมีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยจากสหรัฐฯ Spread อาจขยายเป็น 5–6 pip ได้ในช่วงเวลาไม่กี่วินาที จากรูปจะเห็นว่าระหว่างราคา Bid (123.4560) กับ Ask (123.486) ต่างกันอยู่ 30 นั่นคือค่าสเปรดนั่นเอง ( 30 Point / 3 Pips )

     

    Spread ทำงานอย่างไร?

    อย่างที่เราทราบกันว่า Spread คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของสินทรัพย์ ที่มีการทำงานเริ่มต้นจากราคาสองฝั่งที่โบรกเกอร์เสนอ เช่น

    • Bid Price (ราคาซื้อ): ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมจะซื้อสินทรัพย์จากคุณ

    • Ask Price (ราคาขาย): ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมจะขายสินทรัพย์ให้คุณ

     

    ตัวอย่างการทำงานของ Spread

    สมมุติว่าคุณกำลังเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD

    • Bid (ซื้อ): 1.1000

    • Ask (ขาย): 1.1002

    Spread = 1.1002 – 1.1000 = 0.0002 หรือ 2 pips

    หากคุณเปิดคำสั่งซื้อทันทีที่ราคา Ask 1.1002 แล้วต้องการขายออกในทันที (ที่ราคา Bid 1.1000) คุณจะขาดทุนทันที 2 pips ซึ่งเท่ากับค่า Spread นั่นเอง นี่ก็หมายความว่า กำไรของคุณจะเริ่มต้นที่ติดลบเสมอจะเท่ากับค่า Spread และคุณต้องรอให้ราคาขยับไปในทิศทางที่คุณเลือกมากพอจนเกินค่า Spread จึงจะเริ่มมีกำไร

     

    ปัจจัยที่มีผลต่อ Spread

    ค่า Spread ไม่ได้คงที่เสมอไป เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ Spread เปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้:

    ปัจจัยที่มีผลต่อ-Spread

     

    สภาพคล่องของตลาด

    ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น คู่สกุลเงินหลัก (EUR/USD, USD/JPY) จะมี Spread แคบ เพราะมีผู้ซื้อ-ขายจำนวนมาก ทำให้การซื้อขายรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ในทางกลับกัน สินทรัพย์หรือคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องต่ำ Spread จะกว้างขึ้น เนื่องจากมีผู้ซื้อ-ขายน้อยกว่า

     

    ช่วงเวลาทำการตลาด

    ช่วงเวลาที่ตลาดเปิดและมีกิจกรรมมาก เช่น เวลาซื้อขายของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก จะมี ช่วงเวลาที่ spread แคบที่สุด ช่วงเวลาที่ตลาดปิดหรือมีกิจกรรมน้อย เช่น ช่วงกลางคืนหรือวันหยุด Spread มักจะกว้างขึ้น นักลงทุนมักจะหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงเวลานี้หากต้องการลดต้นทุน

     

    ความผันผวนของตลาด

    Spead ผันผวนตามข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์กระทบตลาด ยิ่งความผันผวนมีมากขึ้น ก็จะทำให้ Spread ขยายกว้าง เนื่องจากโบรกเกอร์ต้องรับความเสี่ยงมากขึ้น และสภาพคล่องในตลาดลดลง ส่งผลให้นักเทรดต้องจ่ายต้นทุนการเทรดสูงขึ้น หากคุณเข้าช่วงความผันผวนของตลาด จะช่วยลดผลกระทบจากค่า Spread ที่เพิ่มขึ้น

     

    ประเภทบัญชีและโบรกเกอร์

    โบรกเกอร์แต่ละรายและแต่ละประเภทบัญชีมีนโยบาย Spread ที่แตกต่างกัน บางโบรกเกอร์เสนอ Spread คงที่ บางโบรกเกอร์เสนอ Spread ลอยตัว แต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกัน บัญชีประเภท ECN หรือบัญชีที่เน้นความเร็วก็คือ บัญชีเทรดแบบ spread ต่ำ ที่มีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม

     

    ความแตกต่างของ Spread ในตลาด Forex, หุ้น และคริปโต

    เรามาดูความแตกต่างของ Spread กันต่อเลยว่า แต่ละตลาดจะมีลักษณะและรูปแบบสเปรดที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? เพื่อให้คุณเลือกตลาดที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของคุณ

     

    ตลาด Forex

    Spread ในตลาดฟอเร็กซ์มักจะค่อนข้างแคบ โดยเฉพาะคู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY เนื่องจากตลาดมีสภาพคล่องสูงและมีผู้ซื้อขายจำนวนมาก นอกจากนี้ Spread ยังอาจเป็นแบบ Spread คงที่ หรือ Spread ลอยตัว ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และประเภทบัญชี

     

    ตลาดหุ้น

    Spread ในตลาดหุ้นมักจะกว้างกว่าตลาด Forex เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีสภาพคล่องแตกต่างกัน หุ้นที่มีปริมาณซื้อขายมากจะมี Spread แคบ ขณะที่หุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่มีการซื้อขายน้อย Spread จะกว้างขึ้น นอกจากนี้ราคาหุ้นยังขึ้นอยู่กับคำสั่งซื้อขายจริงที่เข้ามาในตลาด

     

    ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี

    Spread ในตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง และสภาพคล่องแตกต่างกันมากตามแต่ละเหรียญ ทำให้ Spread มีความแปรผันสูง บางเหรียญที่ได้รับความนิยมมากจะมี Spread แคบ แต่เหรียญที่มีปริมาณซื้อขายน้อยหรือในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง Spread จะกว้างขึ้นอย่างมาก นักลงทุนควรระวังเรื่อง Spread ในช่วงเวลาที่มีข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ

     

    ข้อดีและข้อเสียของ Spread คงที่

    ข้อดี

    ข้อเสีย

    ต้นทุนการเทรดชัดเจนและคงที่ วางแผนได้ง่าย

    อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงตลาดปกติ

    ไม่ผันผวนตามสภาพตลาด เหมาะกับมือใหม่

    บางครั้ง Spread อาจกว้างแม้ในช่วงตลาดที่สภาพคล่องสูง

    ลดความกังวลในช่วงตลาดผันผวนหรือข่าวสำคัญ

    โบรกเกอร์บางรายอาจจำกัดช่วงเวลาหรือสภาพการใช้งาน

    เหมาะกับกลยุทธ์เทรดระยะกลาง-ยาว

     

     

    ข้อดีและข้อเสียของ Spread ลอยตัว

    ข้อดี

    ข้อเสีย

    Spread มักจะแคบกว่าในช่วงตลาดปกติและมีสภาพคล่องสูง

    ค่า Spread ผันผวนสูงในช่วงตลาดผันผวนหรือข่าวสำคัญ

    เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการต้นทุนต่ำ เช่น เทรด Scalping

    ต้นทุนการเทรดไม่แน่นอน อาจทำให้คาดการณ์กำไรยาก

    มีความยืดหยุ่นตามสภาพตลาดจริง

    อาจมีค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหากจากโบรกเกอร์

     

    ต้องติดตามตลาดและปรับกลยุทธ์บ่อย

     

    การเลือก Spread ที่เหมาะกับคุณ

    การเลือกประเภท Spread ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิจารณาได้จากสไตล์และเป้าหมายการเทรดของคุณ ดังนี้:

    • หากคุณเป็นมือใหม่หรือต้องการความแน่นอนในต้นทุน: Spread คงที่ (Fixed Spread) อาจเหมาะกับคุณ เพราะช่วยให้วางแผนการเทรดและบริหารความเสี่ยงได้ง่าย ไม่ต้องกังวลกับค่า Spread ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

    • หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่เน้นความเร็วหรือ Scalping: Spread ลอยตัว (Variable Spread) ก็อาจจะเหมาะกว่า เพราะในช่วงเวลาตลาดปกติ Spread จะต่ำกว่าคงที่ ช่วยลดต้นทุนการเทรด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงในช่วงความผันผวนสูงที่ Spread ขยายกว้างขึ้น

    • หากคุณเทรดระยะกลางถึงยาว: Spread คงที่ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะต้นทุนคงที่ช่วยให้คำนวณกำไรขาดทุนได้แม่นยำ ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของ Spread

    ควรพิจารณาความสะดวกและนโยบายโบรกเกอร์ เพราะบางโบรกเกอร์อาจมีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมสำหรับ Spread ลอยตัว หรือจำกัดบางเงื่อนไขของบัญชี ควรเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

     

    สรุป

    หลังจากที่คุณได้ทำความเข้าใจ Spread เรียบร้อยแล้ว การเลือกประเภท Spread ที่เหมาะสมกับสไตล์และเป้าหมายการเทรดจะช่วยให้คุณควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น Spread คงที่จะเหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการความแน่นอน ส่วน Spread ลอยตัวจะเหมาะกับเทรดเดอร์ที่เน้นความรวดเร็วและต้องการต้นทุนต่ำ อย่าลืมพิจารณานโยบายของโบรกเกอร์และประเภทบัญชีเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของคุณ

    พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?

    เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย

    รับสิทธิ์เข้าถึงฟรี
    สารบัญ

      คำถามที่พบบ่อย

      ค่า Spread คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Ask) ของสินทรัพย์ จะคำนวณจากราคาขายลบด้วยราคาซื้อ

      Spread หุ้น คือส่วนต่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อพร้อมจ่าย (Bid) กับราคาที่ผู้ขายพร้อมขาย (Ask) ในตลาดหุ้น จะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของหุ้นแต่ละตัว หุ้นที่มีการซื้อขายมากจะมี Spread แคบ ส่วนหุ้นที่มีการซื้อขายน้อย Spread จะกว้างขึ้น

      ค่าสเปรด คือต้นทุนแฝงในการเทรด ที่เกิดจากส่วนต่างของราคาซื้อและขายในตลาดการเทรด เป็นต้นทุนที่นักเทรดต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์เมื่อต้องการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย

      คุณสามารถดูค่าสเปรดได้จากราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ในแพลตฟอร์มเทรด เราจะใช้ราคาขายลบด้วยราคาซื้อ จะได้ค่า Spread เป็นจำนวน pip หรือจุดเล็กๆ ของราคาสินทรัพย์ที่คุณเลือกเทรด

      ราคา ASK คือราคาที่โบรกเกอร์หรือผู้ขายพร้อมจะขายสินทรัพย์ให้กับนักเทรด หรือราคาที่นักเทรดต้องจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์นั้นในตลาด

      โบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำมักจะเป็นโบรกเกอร์ประเภท ECN หรือโบรกเกอร์ที่เน้นสภาพคล่องสูง แต่ละโบรกมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ควรเปรียบเทียบ Spread และค่าคอมมิชชั่น รวมถึงรีวิวจากผู้ใช้งานก่อนเลือกใช้บริการ

      Itsariya Doungnet

      Itsariya Doungnet

      SEO Content Writer

      อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ

      เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง

      scroll top